นิทานเรื่องไอ้ตาบอดเอาตัวรอด

ยังมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันพ่อ กับลูกสาว พ่อชื่อนายแก้ว ส่วนลูกสาวชื่อเอ้ย นายแก้วเป็นพ่อม่ายมานานเพราะว่าตั้งแต่แม่ของเอ้ยเกิดเอ้ยไม่นานนักก็ตาย นายแก้วจึงต้องเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพังจนเอ้ยนั้นเติบใหญ่เป็นสาวรุ่นที่หน้าตาค่อนข้างดีทีเดียว

วันหนึ่งพ่อก็เรียกเอ้ยมาคุยกันหลังจากที่กินข้าวเย็นด้วยกันเสร็จแล้วนั้น พ่อก็บอกกับเอ้ยว่า

“นี่เอ้ย ลูกก็โตเป็นสาวแล้วนะ ส่วนว่าพ่อก็แก่ตัวลงทุกวันจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ พ่ออยากให้เจ้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซักที เพราะว่าจะได้มีคนคอยดูแลเจ้าพ่อก็จะได้ไม่ต้องห่วงหาอะไรอีกจะได้นอนตายตาหลับซักที”

พอดีกับเจ้าบอดตาใสเดินผ่านมาใกล้บ้านของสองพ่อลูกพอดีและก็ได้ยินสองพ่อลูกคุยกันมันก็แอบยืนฟังที่ใต้ถุนบ้านนั้น

“แล้วถ้าลูกจะเลือกผู้ชายซักคนมาแต่งงานด้วยละพ่อ ต้องเป็นคนยังไงหรือว่าต้องดูที่ตรงไหนละ”

“ลูกต้องเลือกคนที่มือของเขานะค่อนข้างจะหยาบกร้านนะลูก เพราะว่าคนอย่างนี้เขาขยันทำงานทำไร่ ทำนา ทำสวนเก่งเขาจะได้เลี้ยงดูลูกได้นะ”

เมื่อพ่อแนะนำลูกสาวอย่างนั้นไปแล้ว เจ้าบอดคิดที่อยากจะได้ลูกสาวของลุงแก้ว อีกวันหนึ่งตอนค่ำๆ ไอ้ตาบอดก็ไปเที่ยวบ้านลุงแก้วกะจะไปจีบลูกสาวลุงแก้ว แต่กว่าจะถึงบ้านลุงแก้วนั้นยากลำบากมากมายตกหลุมตกร่อง ชนนั่นนี่สารพัดเพราะตาก็บอด พอไปถึงมันก็รีบเอาข้าวเหนียวมาปั้นเพื่อที่อยากให้ข้าวติดมือมันแล้วก็ขึ้นไปเที่ยวหาเอ้ย พอตกดึกหน่อยหลังจากที่คุยกับเอ้ยเป็นเวลานาน ไอ้บอดก็จะกลับบ้านแล้วมันก็ค่อยๆ คลำหามือของเอ้ยเพื่อที่จะจับและให้เอ้ยรู้ว่ามือมันนั้นสากหยาบ

พอจับมือเอ้ยได้แล้วมันก็ลูบคลำ เอ้ยเขินอายเล็กน้อยและก็รู้ว่ามือของไอ้บอดนั้นสาก หยาบเลยตะโกนขึ้นบอกพ่อว่า

“พ่อจ๋า…… เอ้ยเจอคนที่ต้องการแล้ว เหมือนที่พ่อบอกเลย”

หลังจากวันนั้นไม่นาน พ่อของเอ้ยก็จัดงานแต่งเล็กๆ ให้กับเอ้ยกับไอ้บอดอยู่กินด้วยกัน วันหนึ่งพ่อเมียก็บอกให้ลูกเขยใหม่นั้นไปไถนา ไอ้บอดก็ออกไปไถนาแต่เนื่องจากมันมองไม่เห็น ก็บังคับควายไปซ้ายๆ ขวาๆ ไถเอาคันนาออกหมด พ่อเมียเดินมาดูก็ตะโกนถาม

“นี่ลูกเขย ทำไมไถนาซ้ายขาวอย่างนั้นนะ และยังเอาคันนาออกหมด”

“ลูกเขยใหม่ก็ต้องทำคันนาใหม่ ปั้นใหม่สิครับพ่อ”

พอเสร็จงานที่นาหมด ไอ้บอดก็แบกอุปกรณ์ต่างๆ กลับบ้าน พอมาถึงที่บ้าน เอ้ยก็บอกสามีของเธอให้ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนแล้วคอยมากินข้าวปลาอาหาร ไอ้บอดก็ไปอาบน้ำตรงข้างบ่อน้ำ มันก็หย่อนถังน้ำลงไปเพื่อตักน้ำ แต่ว่าเชือกที่มัดถังน้ำหลุดมือตกลงไปในบ่อน้ำมันจึงต้องเอาบันใดยาวๆ มาหย่อนลงไปในบ่อน้ำแล้วก็ลงไปในบ่อเอาถังน้ำ
ขึ้นมา พอขึ้นมาแล้ว เนื่องจากบันใดนั้นยาวเกินปากบ่อน้ำมามาก ไอ้บอดก็ขึ้นไปจนสุดปลายบันใดเลยปากบ่อน้ำมา พ่อตาก็มาเห็นเข้าก็เลยถามไอ้บอดว่า

“ลูกเขย…..เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนปลายบันใดนั่นนะ”

“อ้อ…. ผมขึ้นมาดูน้ำในทุ่งนานะว่ามันท่วมหรือว่าไม่ท่วมหรือว่าน้ำจะแห้งนะพ่อ อยู่ ข้างล่างมองไม่เห็นเลยต้องขึ้นมาดูจากข้างบนนี้นะพ่อ”

ไอ้บอดก็เอาตัวรอดของมันไปอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เมียก็เรียกให้มากินข้าว “พี่ๆ ขึ้นมากินข้าวได้แล้ว”

เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มาซักที จนเมียมันต้องลงมาตามหาที่ด้านล่าง ไปเจอไอ้บอดนั้นอยู่ใต้ถุนเรือนเพราะว่าหาทางขึ้นบ้านไม่เจอ เมียมันก็ถาม

“พี่ไปทำอะไรใต้ถุนแคบๆ นั้นนะ”

“อ้อ พี่เข้ามาดูว่าไม้เรือนเราสมควรจะเปลี่ยนหรือยังนะ”

“ออกมากินข้าวได้แล้ว”

มันก็ออกมาและขึ้นเรือนตามเมียมันไป แต่ว่าเนื่องจากตามันบอดมองไม่เห็น มันก็เดินไปบนเรือนไปเรื่อยๆ เดินไปเตะขันโตกกับข้าวกระจาย เมียมันก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจว่า

“ทำไมพี่ทำอย่างนี้เนี่ย”

ไอ้บอดก็ตอบเมียมันว่า

“บอกแล้วใช่ไหมว่าข้าไม่กิน ไอ้น้ำพริกอะไรเนี่ย ข้าไม่อยากกิน”

“แล้วพี่ทำไมไม่บอกกันดีๆ ละ ทำไมต้องเตะกับข้าวอย่างนี้เนี่ย ข้าไม่อยู่กับพี่แล้ว ออกไปจากบ้านข้าเลย ข้าไม่อยากอยู่กับคนอย่างนี้แล้ว”

เมียมันตวาดด้วยความโกรธ

“เออ….. ไม่อยู่ก็ได้ ข้าก็ไม่อยากที่จะอยู่เหมือนกันแหละ”

เอ้ยเข้าไปในห้องจัดเก็บเสื้อผ้าของไอ้บอดนั้นใส่ห่อผ้าแล้วเอามาให้มัน

“เอ๊า.. ห่อเสื้อผ้าของพี่ แล้วออกไปจากบ้านเอ้ยเลยนะ”

ไอ้บอดได้ห่อผ้าแล้วก็งมเดินลงบันใดไป พอถึงด้านล่างแล้วเสื้อของมันไปติดอยู่กับหัวราวบันใด พอมันจะเดินไปก็เหมือนมีคนมาดึงเอาไว้มันก็ตะโกนว่า

“ไม่ต้องมาดึงข้า ข้าจะไป ยังไงก็จะไปไม่ต้องมาดึงข้าไว้”

สองพ่อลูกพอเห็นอย่างนั้นแล้วก็รู้ว่าที่แท้แล้วผัวของเอ้ยเป็นคนตาบอด ทั้งสองก็ปล่อยไอ้บอดไป