นิทานมุขตลก

ประเภทของนิทานไทย การเล่านิทานแบบธรรมดาๆคงจะหาได้ยากแล้วในปัจจุบัน เพราะการฟังนิทานด้วยคำพูดเรียบๆ มันอาจจะดูไม่น่าสนใจเลย ในช่วงระยะเวลาหลังๆมานี้ บางโรงเรียน สถานที่ศึกษาบางแห่งมีการจัดการเล่านิทานเกิดขึ้น เพื่อส่งเสริมวิชาการในด้านภาษาไทย เพราะการเล่านิทาน ก็เกี่ยวข้องกับวิชาภาษาไทยด้วยเช่นกัน การออกเสียงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ถือว่าเป็นวิชาการเรียนรู้

นิทานสมัยเก่า แต่เมื่อเล่าออกมาแล้วกลายเป็นนิทานมุขตลกเหมือนเป็นนิทานสมัยใหม่ มีมุขตลกเฮฮาขำขันซ่อนอยู่ในนิทานแทบทุกเรื่อง นิทานมุขตลกส่วนใหญ่จะมีความคล้ายคลึงกับนิทานพื้นบ้านของแต่ละภาค มีความสนุกสนาน ขำขัน คล้ายกับนิทานก้อม เป็นเรื่องเล่าที่ผู้เฒ่าผู้แก่จะเล่าให้ลูกหลานฟังเวลาที่ว่าง เล่ามานานเล่าเท่าไหร่ ก็ยิ่งจำได้มากขึ้น ก็มีการเล่าลืบต่อกันไปเป็นทอดๆ เล่ากันไปรุ่นต่อรุ่น จนในตอนนี้นิทานมุขตลกบางเรื่องได้ถูกรวบรวมและตีพิมพ์ให้อ่านได้ง่ายมากยิ่งขึ้น บางเรื่องถูกนำมาเผยแพร่ทางโซเชียล เพื่อให้วัยรุ่นได้อ่านกันง่ายมากยิ่งขึ้น วันนี้เราจึงมีตัวอย่างบนิทานมุขตลกมาให้ได้อ่านกัน สามารถอ่านได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อ่านแล้ว คิดแล้วขบขันได้อยู่ตลอดเวลา นิทานมุขตลกส่วนใหญ่ถูกเล่าออกมาในวงการพูดคุยที่สนุกสนานเฮฮา วันนี้เราจึงได้ยกนิทานมุขตลกมาให้อ่านกันได้บ้าง เป็นนิทานพื้นบ้านมุขตลกที่นำมาจากล้านนา อาจจะเป็นภาษาเหนือบ้างเป็นบางเรื่อง ยกนำมาเผยแพร่ไว้อ่านกันอย่างสนุกสนาน

“นิทานเรื่อง ครอบครัวคนหูหนวก”

“มีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน สามคน มีพ่อ แม่ และลูก ทั้งสามคนนั้น หูหนวกด้วยกันทั้งหมด มักจะได้ยินอะไรไม่ชัดและมีความหมายที่ต่างกันออกไป วันหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้าน ได้เดินทางมาที่บ้านครอบครัวคนหูหนวก แต่พ่อแม่กับแม่ไม่อยู่ เหลือเพียงแค่จันทร์ผู้เป็นลูกเท่านั้น เมื่อผู้ใหญ่บ้านทราบว่าคนเป็นพ่อและแม่ไม่อยู่ จึงได้บอกกับจันทร์ไปว่า

“นี่เจ้าจันทร์ เมื่อพ่อและแม่ของเจ้ากลับมาแล้ว บอกพ่อและแม่ของเจ้าด้วยว่า ให้เดินทางไปประชุมที่วัดเพื่อประชุมเรื่องหมูบ้านของเรา”

จันทร์ก็ทำการอ่านปากผู้ใหญ่บ้านไปตามประสา เมื่อพ่อและแม่ของจันทร์กลับมาจันทร์ก็ได้บอกกับพ่อและแม่ว่า ผู้ใหญ่บ้านจะเข้ามาถามเพื่อซื้อที่น่าและที่ไร่ พอแม่ได้ยินดังนั้นจึงถามพ่อว่า

“นี่พ่อ ท่านจะขายควาย ขายวัว ให้หมดบ้านเลยหรือ”

ส่วนผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นก็พูดไปว่า “เปล่าเลยนะ ข้าไม่ได้เป็นคนตด ใครตดข้าไม่รู้ด้วยซ้ำ”

กลายเป็นว่าครอบครัวนี้ ไม่สามารถคุยกันได้รู้เรื่องเลย ต่างคนต่างคุยกันคนละเรื่อง เป็นนิทานมุขตลกที่ต่างคนต่างก็อ่านไปยิ้มไป เชื่อว่าหลายคนคงได้เคยอ่านมาแล้ว ในช่วงเวลาของการเรียน ชั่วโมงแห่งการพักผ่อน คุณครูก็มักจะหยิบยกเอานิทานเหล่านี้มาเล่าให้กับเด็กนักเรียนได้ฟัง เพื่อความสนุกสนานเฮฮากันไป